วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

THE FOURTH KIND

In 1972, a scale of measurement was established for alien encounters. When a UFO is sighted, it is called an encounter of the first kind. When evidence is collected, it is known as an encounter of the second kind. When contact is made with extraterrestrials, it is the third kind. The next level, abduction, is the fourth kind. This encounter has been the most difficult to document...until now.

Structured unlike any film before it, The Fourth Kind is a provocative thriller set in modern-day Nome, Alaska, where, mysteriously since the 1960s, a disproportionate number of the population has been reported missing every year. Despite multiple FBI investigations of the region, the truth has never been discovered.

Here in this remote region, psychologist Dr. Abigail Tyler (Milla Jovovich) began videotaping sessions with traumatized patients and unwittingly discovered some of the most disturbing evidence of alien abduction ever documented.

Using never-before-seen archival footage that is integrated into the film, The Fourth Kind exposes the terrified revelations of multiple witnesses. Their accounts of being visited by alien figures all share disturbingly identical details, the validity of which is investigated throughout the film.

ประเด็นหนังที่สร้างเหตุการณ์จริงนั้นอาจเป็นอีกเรื่องเลย เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เดินทางมายังโลกเพื่อลักพาตัวมนุษย์ไปทำอะไรบางสิ่ง แล้วสามารถกลับมาเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง The Fourth Kind คือภาพยนตร์ทริลเลอร์/สั่นประสาทที่ถูก "สร้างจากเหตุการณ์จริง"

The Fourth Kind ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก ที่ใช้ฟุตเทจจากหลักฐานจริงซึ่งถูกบันทึกไว้โดย ด็อกเตอร์ อบิเกล ไทเลอร์ จิตแพทย์ผู้รักษาคนไข้ ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจากบางสิ่ง มาผสมผสานกับภาพยนตร์ที่ถูกถ่ายทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้ มิลล่า โจโววิช นักแสดงสาวจาก Resident Evil ทั้ง 3 ภาค เข้ามารับบทเป็นด็อกเตอร์ อบิเกล
...
โจโววิช เล่าถึงการทำงานในโปรเจกต์นี้ว่า "นี่เป็นหนังทริลเลอร์แนวจิตวิทยาที่ถูกสร้างจากเรื่องจริง และมันยังมีความน่ากลัวอยู่เป็นระยะ อารมณ์ความรู้สึกของคุณจะเตลิดไปพร้อมกับผู้หญิงคนนี้ เพราะมีหลายสิ่งที่หาคำอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นรอบตัวเธอ ซึ่งเธอก็เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไม่มีทางเลือก ฉันคิดว่านี่เป็นตัวละครที่น่าสนใจ ในการเปลี่ยนแปลงจากคนที่มีความคิดอยู่ในกรอบของสภาพความเป็นจริง ไปสู่คนที่เชื่ออย่างเต็มที่ในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ" โดยชื่อหนัง The Fourth Kind นั้น ถูกอ้างอิงมาจาก ศาสตราจารย์ เจ อัลเลน ไฮเน็ค นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ให้คำนิยามถึงระดับความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยแบ่งเป็น ระดับ 1 "การเห็น", ระดับ 2 "การค้นพบ", ระดับ 3 "การติดต่อ" และระดับสุดท้าย "การลักพาตัว" ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เจาะลึกลงไปถึงระดับนี้
...
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 กลุ่มคนไข้ของจิตแพทย์สาวคนนี้ ได้รับการบำบัดโดยการสะกดจิตลึก ซึ่งปฏิกริยาตอบรับก็เผยให้เห็นถึงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตต่างดาว โดยพวกเขาทุกคนจะเล่าว่าเห็นนกฮูกสีขาวอยู่ภายนอกหน้าต่าง พวกเขาตื่นขึ้นมาแต่ไม่สามารถขยับตัวเหมือนร่างกายเป็นอัมพาต จากนั้นพวกเขาได้ยินเสียงที่น่าสะพรึงกลัวจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านนอกประตู ก่อนที่ผู้บุกรุกจะเข้ามาดึงร่างออกไปจากห้อง ซึ่งหลังจากนั้นความทรงจำของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด

เมื่อจิตแพทย์สาวคนนั้นสำรวจลงไปในเรื่องเหตุการณ์พิศวง เธอค้นพบถึงประวัติศาสตร์การหายตัวไปของผู้คนในระแวกนี้ รวมถึงกิจกรรมที่แปลกประหลาดของคนที่อ้างว่าเคยถูกลักพาตัวไป ซึ่งย้อนกลับใปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 โดยยิ่งขุดลงไปถึงต้นตอมากเท่าไร ก็ทำให้เธอยิ่งเชื่อในเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เรื่องราวจากปากคำของเหยื่อไม่ใช่ความทรงจำที่ถูกแต่งขึ้น หากแต่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่บอกได้ถึงการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว










...
ระดับแรก “การเห็น”
เหตุการณ์การเห็นวัตถุลึกลับเกิดขึ้นในรัฐอลาสก้าหลายครั้ง เช่นในเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ 1965 เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศและลูกเรือสหรัฐ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานในอลาสก้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ทันใดนั้นเรดาร์พวกเขาก็จับสัญญาณของสิ่งแปลกปลอมขนาดมหึมาได้สามลำที่ว่ากันว่าเตือยูเอฟโอ โดยพวกมันได้บินผ่านเครื่องบินเจ็ต F-169 ผ่านน่านน้ำแปซิฟิก และหายไปด้วยความเร็วที่มากกว่า 1500 ไมล์ ต่อชั่วโมง


ในปีค.ศ. 1972 พันเอกพิเศษแห่งของกองทัพอากาศสหรัฐ เวนเดลล์ ซี สตีเว่นส์ ได้ให้ปากคำถึงภาพฟุตเตจของยูเอฟโอเหนือน่านฟ้าอลาสก้าที่ถูกบันทึกเอาไว้ และการหายตัวไปอย่างลึกลับของสมาชิกวุฒิสภา นิค เบจิส ที่เขาเล่าว่าเป็นการแทรกแซงของสิ่งมีชีวิตนอกโลก

เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 1986 เครื่องบินเดินทางออกจากชายแห่งของเมืองแองเคอเรจ โดยมีกัปตันเคนจู เทราอุชิ และลูกเรือของแจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 1628 ได้บอกเป็นเสียงเดียวกันถึงยานบินไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินพาณิชย์ถึงสองเท่า โดยคำให้การของพวกเขาก็ยังได้รับการสนับสนุนจากสัญญาณเรดาร์

เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง และเป็นประสบการณ์ของ จอห์น คาลาแฮน อดีตหัวหน้าฝ่ายสืบสวนอุบัติเหตุ สหพันธ์บริหารการบิน นั่นคือเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร 747 ของสายการบินเจแปน แอไลน์ ถูกยานต่างดาวบินติดตามเหนืออาลาสก้า ถึง 31 นาที โดยกัปตันได้บรรยายว่ามันมีลักษณะเหมือนลูกบอล ที่มีแสงรอบๆ และมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน 747 ราว 4 เท่า โดย คาลาแฮน ยังบอกว่าเรดาห์จับภาพมันได้อีกด้วย










...
ระดับสอง “การค้นพบ”
หลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งถูกจารึกอยู่ในแผ่นดินช่วงยุคสมัยของชาวสุเมเรียน (ประมาณ 3500 ปีก่อนคริสตกาล) โดยคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.AN.NA.KI) ซึ่งเป็นภาษาสุเมเรียน แปลว่าพระเจ้าผู้ลงมาจากเบื้องบน Annunaki คือเหล่าเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ ชนชาติที่เจริญแล้วซึ่งอารยธรรมอย่างน่าพิศวง ต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติ และมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไป

ไม่มีใครบอกได้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณเอาวิทยาการและเทคโนโลยีเหล่านั้นมาจากไหน ยกเว้นแต่จารึกโบราณของพวกเขาที่ระบุเอาไว้ว่า “มาจากพระเจ้า” หรือ Anunnaki คำตอบมีอยู่ในจารึก “คิวนิฟอร์ม” ของชาวสุเมเรียน ก็คือพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองของระบบสุริยะ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Planet X ชาวสุเมเรียนเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นว่า Nibiru

เป็นน่าพิศวงที่คนโบราณเมื่อเกือบหมื่นปีก่อนรู้จักดาวเคราะห์ที่พวกเราไม่รู้จัก แต่คนโบราณเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนกลับรู้จักดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ แถมคำนวณวงโคจรของมันได้ถูกต้องเสียอีก แถมพวกเขายังรู้จักกำเนิดของโลก อุบัติการการเฉี่ยวชนระหว่างดาวเคราะห์ชื่อ TIAMAT กับ MARDUK/NIBIRU จนก่อให้เกิดโลกของเราในปัจจุบันขึ้น สามารถอธิบายต้นกำเนิดของ Asteroid Belt ที่กั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกของระบบสุริยะได้อย่างน่าพิศวงที่สุด และทั้งหมดนี้พวกเขาได้รับความรู้มาจาก Anunnaki หรือ “พระเจ้าจากอวกาศ










...
ระดับสาม “การติดต่อ”
บรรดาผู้ที่สนใจหรือฝักใฝ่ในเรื่องยูเอฟโอต่างเชื่อมั่นว่า มียานอวกาศลึกลับบินมาตกในบริเวณป่าใกล้กับเมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg) รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1969 ประจักษ์พยานนับพันคนทั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐใกล้เคียง เช่น มิชิแกน, โอไฮโอ หรือออนทรีโอในแคนาดา ต่างก็เห็นกับตาว่ามีวัตถุสุกสว่างขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าเหนือบริเวณที่พวกเขาอยู่ และไปตกพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย
หลังจากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุ แต่หลังจากค้นหากันอยู่นาน นายทหารที่ร่วมค้นหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของนาซาก็ออกมาบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับมีรายงานออกมาว่าเป็นเพียงแค่สะเก็ดดาวตกลงมาเท่านั้น

อย่างไรก็ดี มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่า พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุขนาดใหญ่พอๆ กับรถเต่า (โฟล์คสวาเกน) และมีลักษณะคล้ายกับผลต้นโอ๊กออกจากบริเวณที่เกิดเหตุในค่ำคืนวันนั้น โดยสิบเอก คลิฟฟอร์ด สโตน อดีตทหารบกกองทัพสหรัฐ เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า เขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยานต่างดาวตกที่เพนซิลเวเนียในครั้งนั้น และยังมีมนุษย์ต่างดาวที่รอดชีวิตอยู่ด้วย แต่รัฐบาลก็ตัดสินใจปกปิดเรื่องนี้ โดย สโตน ยังบอกว่าเผ่าพันธ์ มนุษย์ต่างดาวมีถึง 57 สปีซี่ และหลายสปีซี่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์

กรณีนี้คล้ายกับการพบซากยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวอันโด่งดังในเมืองรอสเวลล์เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2490 จึงมีการเรียกชื่อเหตุการณ์ยูเอฟโอตกในรัฐเพนซิลเวเนียครั้งนั้นว่า “เหตุการณ์รอสเวลล์ที่เพนซิลเวเนียส์” (Pennsylvania's Roswell)






...
...
...
...
ระดับสี่ “การลักพาตัว”
การลักพาตัว เบตตี้ และ บาร์นีย์ ฮิลส์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึก เกี่ยวกับการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว โดยเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 1961 ขณะที่ เบตตี้ และ บาร์นีย์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆก็มียานอวกาศลึกลับแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ
สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน (ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด

คนทั้งสองเปิดเผยภายใต้สภาวะสะกดจิตเหมือนๆ กันว่า รู้สึกกลัวจับใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมุ่งหน้าเข้ามาหา แต่ไม่สามารถขยับเนื้อขยับตัวเพื่อหลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ บรรดาคนที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้บอกว่า ถ้าไม่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็จะรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราวไปทั้งตัว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะขยับแขนขยับขา นอกเหนือจากสภาพหมดปัญญาจะหลบหนีแล้ว เหยื่อยังอาจถูกบังคับให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วย เช่น กรณีของ บาร์นีย์ ที่บอกว่าเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ก้าวลงจากรถ และทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น สิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ราย ก็ตรงเข้ามาขนาบข้าง ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างทั้งๆ ที่ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มเปี่ยม

เบตตี้ ฮิลล์ บอกว่า ผู้ที่จับตัวเธอมาเก็บตัวอย่างผิวหนังจากต้นแขน เก็บผม ขี้หู และตัดเล็บไปทดสอบ และถูกตรวจสอบภายในร่างกายด้วยเครื่องมือที่เหมือนเป็นท่อหรือสายไฟ ส่วนปลายเป็นเข็มยาวสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่ง เบตตี้ ฮิลล์ ได้รับคำบอกจากผู้ที่ลักพาตัวเธอว่าเป็นการ "ทดสอบความสามารถในการตั้งครรภ์" นั่นเอง

จากนั้นทั้ง เบตตี้ และ บาร์นีย์ ก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก และได้ออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น